ดร.มหานืยม”พร้อมพระเมืองไทย-อเมริกาฉะสส.พรรคประชาชนด้อยค่าดูถูกสงฆ์/ชาวพุทธแห่วิจารณ์โหนกระแสเหยียบย่ำศาสนา

Uncategorized

*”ดร.มหานืยม”พร้อมพระเมืองไทย-อเมริกาฉะสส.พรรคประชาชนด้อยค่าดูถูกสงฆ์/ชาวพุทธแห่วิจารณ์โหนกระแสเหยียบย่ำศาสนา

 

จากกรณี เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มาตรา 27 ของส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง และหน่วยงานภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรี รวมวงเงิน 43,111 ล้านบาท ได้มี สส.พรรคประชาชนบางคน จี้ตัดงบ นิตยภัต-พระวินยาธิการ พัดยศ งบเผยแผ่ อ้างใช้ภาษี ไม่โปร่งใส ไม่คุ้มค่า สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์แก่ประชาชนชาวพุทธว่าไม่เหมาะสมเป็นการเหยียบย่ำศาสนาอาศัยกระแสข่าวพระฉาวบางรูปมาอภิปรายหาเสียง

ซึ่ง “ดร.นิยม เวชกามา” หรือ “ดร.มหานิยม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ) กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่งที่มี สส.บางคนของประเทศไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ ได้อภิปรายเช่นนี้ในสภา รู้สึกหดหู่ใจมากที่วันนี้ สถาบันสำคัญ 1 ใน 3 คือ ศาสนา ต้องถูกดูหมิ่นได้ถึงขนาดนี้ เช่น

“นายภัณฑิล น่วมเจิม” ส.ส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายถึงงบสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 5,518 ล้านบาท ระบุว่า การใช้จ่ายในหลายรายการไม่ใช่ภารกิจที่สำนักพุทธฯ ควรดำเนินการ และบางส่วนขัดต่อหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันวงการสงฆ์มีปัญหาเละเทะ โดยเฉพาะงบบุคลากร 1,642 ล้านบาท ซึ่งแท้จริงคือเงินที่มอบให้พระสงฆ์ ทั้งที่พระห้ามถือเงินตามหลักธรรมคำสอน
จึงเสนอให้ตัดงบ “นิตยภัต” หรือเงินเดือนพระสงฆ์ 1,233 ล้านบาททั้งหมด เพราะเป็นการใช้ภาษีประชาชนส่งเสริมความมั่งคั่งของพระ พร้อมตัดงบอุดหนุนปกครองคณะสงฆ์ เงินรายปี และงบพัดยศ จาก 16 ล้านบาท เหลือ 8 ล้านบาท เนื่องจากพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปมรณภาพแล้ว ทำให้สามารถลดงบได้ครึ่งหนึ่ง รวมถึงงบ “พระวินยาธิการ” หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจพระ ปีละ 3 ล้านบาท ที่แม้มีงบ แต่ไม่สามารถจัดการปัญหาพระอลัชชีได้ แถมยังพบการทุจริตและซื้อขายตำแหน่ง จึงควรถูกตัดออก
“ขอให้สำนักพุทธฯ เปิดเผยรายละเอียดการอุดหนุนวัดหลวงแต่ละแห่ง เพราะวัดมีรายได้จากการทำบุญ ค่าเช่าที่ดิน และอื่น ๆ อยู่แล้ว”

“นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ” สส.นนทบุรี พรรคประชาชน อภิปรายว่า งบเผยแผ่และส่งเสริมพุทธศาสนาที่ใช้งบหลายร้อยล้านบาทยังมีปัญหา 3 ประการ คือ ไม่คุ้มค่า ไม่ทั่วถึง และไม่โปร่งใส ยกตัวอย่างโครงการสร้างขวัญและกำลังใจบุคลากรเผยแผ่ ที่ระบุว่าเพื่อเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานในอินเดียและเนปาล แต่เมื่อพิจารณางบแล้วไม่สอดคล้องกับภารกิจ และไม่มีหลักฐานว่าการเดินทางดังกล่าวส่งผลให้การเผยแผ่ศาสนาดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีงบอุดหนุนวัดไทยในต่างประเทศ 7 ล้านบาท ให้ 39 แห่ง ครอบคลุมพุทธศาสนิกชนเพียง 2,700 คน และแม้งบเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ 2565–2569 แต่จำนวนผู้ได้รับประโยชน์ไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์จากเงินภาษีนี้
“ประชาชนต้องทนเห็นข่าวพระเสื่อม เช่น คดีวัดไร่ขิง พระผู้ใหญ่พัวพันฟอกเงินและยาเสพติด ต้องตั้งคำถามว่านี่คือผลจากการสนับสนุนงบของสำนักพุทธฯ หรือไม่ จึงขอให้ตัดงบหมวดนี้และยกเลิกโครงการทั้งหมด”

ต่อมา วันที่ 16 สิงหาคม 2568 เฟซบุ๊ก PM-Narin Narinto ซึ่งเป็นเฟซส่วนตัวของ “พระมหานรินทร์ นรินฺโท” ป.ธ.9 เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ตอบโต้ สส.พรรคประชาชนที่อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ใจความว่า
“ความหูหนวกตาบอดของพรรคประชาชน ที่พูดโกหกกลางสภาว่า “รัฐบาลจงใจสนับสนุนพระพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียว ไม่มีความเป็นธรรมกับศาสนาอื่น”
กรมบัญชีกลาง ได้อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย ปรับอัตรา “ค่าตอบแทน” ผู้นำศาสนาอิสลาม โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2556 สำหรับตำแหน่งประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด สำหรับจังหวัดขนาดใหญ่ ในอัตราคนละ 3,500 บาทต่อเดือน จังหวัดขนาดกลางในอัตราคนละ 2,700 บาทต่อเดือน และจังหวัดขนาดเล็กในอัตราคนละ 1,900 บาทต่อเดือน อิหม่าม ในอัตราคนละ 1,200 บาทต่อเดือน คอเต็บและบิหลั่นในอัตราคนละ 1,000 บาทต่อเดือน รายละเอียดปรากฏตามหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค.406/62238 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2551
ต่อมากระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า ในปัจจุบันมีผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวนทั้งสิ้น 3,638,232 คน คิดเป็นร้อยละ 5.48 ของประชากรทั้งหมด โดยมีมัสยิดที่จดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมาย จำนวน 4,015 แห่ง และสภาพเศรษฐกิจสังคมในปัจจุบัน เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด อิหม่าม คอเต็บและบิหลั่น กระทรวงมหาดไทย จึงขออนุมัติปรับเพิ่มอัตรา “ค่าตอบแทน” ให้กับผู้นำศาสนาอิสลาม ดังนี้
1. ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด
1.1จังหวัดขนาดใหญ่ (จังหวัดที่มีมัสยิด 101 แห่งขึ้นไป) จำนวน 11 คน เดิมได้รับค่าตอบแทนอัตราเดือนละ 3,500 บาท เพิ่มเป็นอัตราเดือนละ 4,600 บาท
1.2 จังหวัดขนาดกลาง (จังหวัดที่มีมัสยิด 51-100 แห่ง) จำนวน 4 คน เดิมได้รับค่าตอบแทนอัตราเตือนละ 2,700 บาท เพิ่มเป็นอัตราเดือนละ 3,500 บาท
1.3 จังหวัดขนาดเล็ก (จังหวัดที่มีมัสยิด 50 แห่งลงมา) จำนวน 25 คน เดิม ได้รับค่าตอบแทนอัตราเตือนละ 1,900 บาท เพิ่มเป็นอัตราเดือนละ 2,500 บาท
2. อิหม่าม จำนวน 3,917 คน เดิม ได้รับค่าตอบแทนอัตราเดือนละ 1,200 บาท เพิ่มเป็นอัตราเดือนละ 1,500 บาท
3. คอเต็บ จำนวน 3,880 คน เดิม ได้รับค่าตอบแทนอัตราเดือนละ 1,000 บาท เพิ่มเป็นอัตราเดือนละ 1,300 บาท
4. บิหลั่น จำนวน 3,871 คน เดิม ได้รับค่าตอบแทนอัตราเดือนละ 1,000 บาท เพิ่มเป็นอัตราเดือนละ 1,300บาท
กรมบัญชีกลางพิจารณาแล้ว อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย ปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนให้กับผู้นำศาสนาอิสลาม ดังนี้
1. ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด
1.1 จังหวัดขนาดใหญ่ (จังหวัดที่มีมัสยิด 100 แห่งขึ้นไป) อัตราเดือนละ 4,200 บาทต่อคน
1.2 จังหวัดขนาดกลาง (จังหวัดที่มีมัสยิด 51-100 แห่ง) อัตราเตือนละ 3,300บาทต่อคน
1.3 จังหวัดขนาดเล็ก (จังหวัดที่มีมัสยิด 50 แห่งลงมา) อัตราเดือนละ 2,300 บาทต่อคน
2. อิหม่าม อัตราเดือนละ 1,500 บาทต่อคน
3. คอเต็บ อัตราเดือนละ 1,200 บาทต่อคน
4. บิหลั่น อัตราเดือนละ 1,200 บาทต่อคน

พระมหานรินทร์ กล่าวอีกว่าสันดานธาตุแท้ “พรรคประชาชน” หรือ “ก้าวไกล” ในอดีต ส.ส.มีพฤติกรรมอันตราย “ละเมิดทางเพศ” เป็นข่าวฉาว ทางพรรคอันประเสริฐได้ดำเนินการด้วยการ “สอบสวน-ลงโทษ” อย่างเป็นธรรม คือการตัดสิทธิ์ในตำแหน่งต่างๆ ของพรรค ไปจนถึงขับออกจากพรรค ซึ่งก็ไม่ต่างจากการพิจารณาความผิดในทางสงฆ์ (ปลดจากตำแหน่ง-สั่งให้สึก) แต่กลับมี สส.พรรคนี้ออกมาอภิปรายลามปาม ให้ตัดงบประมาณ ตัดสิทธิต่างๆ ของพระสงฆ์ออกทั้งหมด ด้วยอ้างว่าผิดเจตนาของพระพุทธเจ้า ซึ่งถ้าเทียบกับเจตนาของการเป็นผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นการทำงานด้วยจิตอาสา ก็ย่อมจะมีวัตถุประสงค์ในการให้และช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่มีค่าตอบแทนเช่นกัน
ดังนั้น ก็ควรเสนอให้มีการตัดงบประมาณเกี่ยวกับสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ยุบทั้งอาคารรัฐสภา ตำแหน่งประธาน รองประธาน กรรมาธิการ สส. และทุกตำแหน่งทางการเมือง เพราะไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งเหล่านี้ก็ทำงานให้ประเทศชาติประชาชนได้ เงินทุกบาททุกสตางค์ก็จะได้ใช้ทำนุบำรุงประเทศชาติอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“ถ้าพระไม่ดี ก็ไม่ควรเป็นพระ ถ้าศาสนาไม่ดี ก็ไม่ควรมีศาสนา และถ้า สส.ไม่ดี ก็ไม่ควรมี สส. ถ้าสภาไม่ดี ก็ไม่ควรมีสภา ความเป็นธรรม ความยุติธรรม และหลักนิติธรรม ก็ต้องเป็นแบบนี้
นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ให้ สส. สว. ทุกคน ห่อข้าวมากินที่สภาด้วย อย่ามาแดกข้าวชาวบ้านฟรีนะ ขอเสนอแบบนี้บ้าง สส.พรรคไหนก็ได้ ช่วยอภิปรายในสภาที”

ด้าน “พระอุดมบัณฑิต” (สมศักดิ์ สุทธิญาณเมธี ป.ธ.9) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม รองเจ้าคณะภาค 6 ได้โพสต์ข้อความถึง สส. พรรคประชาชน และชาวพุทธทุกท่าน ว่าตื่นหรือยัง
ท่าน สส. พรรคประชาชน อภิปรายเรื่องงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) บนฐานคิดที่ “พระได้ทุกอย่างฟรี” ซึ่งฟังแล้วเหมือนสร้างภาพจำที่ไกลจากความจริงอย่างสิ้นเชิง
1. พระฟรีทุกอย่าง?
ถ้าท่านเชื่อว่าพระทุกวัดกินฟรีอยู่ฟรี ขอเชิญไปอยู่จำพรรษาสักสามเดือน จะได้รู้ว่า อิฐทุกก้อนหลังคาทุกแผ่นมาจากมือใคร และน้ำปานะที่ถวายทุกเช้าซื้อมาจากเงินใคร ไม่ใช่จาก “งบประชาชน” แต่มาจาก “มือประชาชน” ผู้รักศรัทธาในพระศาสนา
2. นิตยภัต 1,800 บาทต่อเดือน เรียกว่าเงินเดือนพระก็เกินไปหน่อย เงินเท่านี้ในกรุงเทพฯ ซื้อกาแฟสตาร์บัคส์ได้กี่แก้ว? แต่พระใช้มันเป็นทุนช่วยเหลือคนตกทุกข์ ยามมีงานศพ งานบุญ งานช่วยน้ำท่วม ก็ยังต้องควักจากบาตรตัวเอง
3. ไปสังเวชนียสถานทำไม?
คำถามนี้สำหรับชาวพุทธก็พอ ๆ กับถามมุสลิมว่า “จะไปฮัจญ์ทำไม” หรือถามคริสต์ว่า “จะไปโรมทำไม” ถ้าไม่เข้าใจ ก็อาจต้องทบทวนว่าท่านเป็นพุทธศาสนิกชนแค่ในบัตรประชาชนหรือในหัวใจ
4. ไม่แตะศาสนาอื่น?
งบของศาสนาอื่นเงียบกริบ แต่พุทธโดนซัดจนแทบล้ม ถามจริง ๆ ว่า นี่คือความเสมอภาคทางศาสนาหรือแค่ความกล้าครึ่งใบ
5. คุณค่าของวัด
วัดคือศูนย์กลางชุมชน เป็นทั้งสถานที่รักษาศิลปวัฒนธรรมและฐานทัพจิตใจของชาวบ้าน ท่านอาจไม่เคยไปขอความช่วยเหลือจากวัด แต่ชาวบ้านจำนวนมากรู้อยู่แก่ใจว่า วัดไม่เคยปฏิเสธใคร
6. วัดกับเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
วัดหลายแห่งเป็น แม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งไทยและต่างชาติ สร้างรายได้ให้ท้องถิ่นแบบมหาศาล และบางวัดยังดึง งบประมาณจากต่างประเทศ ผ่านการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมได้อย่างอารยะ เป็น soft power ที่รัฐไม่ต้องเสียแม้แต่บาทเดียว แต่กลับได้กำไร พระ/ ชาวพุทธ ไม่ใช่ประชาชนรึไง บักเผือก ไม่นับถือแต่อย่าย่ำยี เป็นชาวพุทธแค่ในทะเบียนบ้าน ?
การใช้เวทีสภาเพื่อตีตราพระและวัดทั้งหมดจากข่าวไม่กี่ข่าว อาจทำให้ท่านได้เสียงหัวเราะจากคนที่ไม่ศรัทธา แต่จะเสียความน่าเชื่อถือจากคนที่รู้คุณค่าพระศาสนา และนั่น…อาจแพงกว่างบ 5,000 ล้านบาทที่ท่านอภิปรายเสียอีก อนุญาตให้พระตั้งการเมืองมีสิทธิ์เลือกตั้งได้ไหม

ขณะที่ “ดรไพรัตน์ ฉิมหาด” ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป วิทยาเขตนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กหลังจากสถาบันสงฆ์ถูกเสนอข่าวเชิงลบตลอดมาหลายเดือน ใจความว่าระบบตรวจสอบของสื่อมวลชนไทยไม่เป็นไปตามมาตรฐาน การตรวจสอบความประพฤติของบุคคลสาธารณะควรจะตั้งอยู่บนหลักความเสมอภาคและยุติธรรม แต่ความจริงที่ปรากฏกลับสะท้อนภาพลวงตาที่ขมขื่น พระภิกษุ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศีลธรรม กลับตกเป็นเป้าหมายของการเพ่งเล็ง จับผิด และตีตราอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นจำเลยสังคมถาวร ขณะที่นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ และนายทุนผู้มีบารมีทางเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งในบางกรณีมีพฤติกรรมอันน่ารังเกียจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน กลับเดินยิ้มบนพรมแดงแห่งอำนาจ ท่ามกลางการปรบมือของเครือข่ายอุปถัมภ์ และการนิ่งเงียบของกลไกตรวจสอบ

ดร.มหานิยม กล่าวว่า การที่สส. อภิปรายเรื่องบประมาณ เป็นการตรวจสอบการทำหน้าที่ แต่อย่างไรก็ควรมีวิจารณญาณในการดูข้อมูลให้ถ่องแท้เสียก่อน ประเทศไทยไม่เคยห้ามมีศาสนาใดมาแต่โบราณ ทุกชนเชื้อชาติศาสนาอยู่ร่วมกันมานานหลายศตวรรษแล้ว ขณะที่ศาสนาพุทธอันเป็นศาสนาประจำชาติไทยก็ไม่เคยเบียดเบียนศาสนาอื่นหรือคนที่นับถิอศาสนานั้นเลยตลอดมา
“แต่เมื่อมีพระสงฆ์บางรูปกระทำผิดจริงหรือถูกกล่าวหา ก็ไม่ได้หมายความว่าพระจะเป็นแบบนี้หมดทั้งประเทศ ควรต้องแยกแยะ และยังเหมารวมไปถึงกิจกรรมทางศาสนาพุทธ เลยไปถึงค่าใช้จ่ายเงินงบประมาณต่างๆ ว่าต้องตัดทอนจึงไม่ถูกต้องฎ
“นับเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่มีผู้แทนราษฎรบางคนบางพรรคที่มากับกระแสนิยมชั่วคราว แล้วโหนกระแสข่าวพระฉาวบางรูปบางองค์มาอภิปรายในสภาเช่นนี้ ถามว่าเมื่อกระแสพรรค กระแสข่าวพระเงียบลง ท่านจะมีที่ยืนตรงไหนในสังคมประเทศนี้ครับ ผมจะไม่ถามว่าท่านนับถือศาสนาอะไรด้วย” ดร.มหานิยม กล่าว/////