*“ดร.มหานิยม”ร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีครั้งที่2เสนอปราบยาเสพติดให้ได้เหมือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์*

เวลา 13.30น.วันที่ 21 มีนาคม 2568 ที่กระทรวงยุติธรรม “ดร.นิยม เวชกามา” หรือ “ดร.มหานิยม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล) กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีครั้งที่ 2/2568 โดย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสในการหารือและวางแผนการดำเนินงานด้านกฎหมายและการบริหารจัดการในกระทรวงยุติธรรมโดยเฉพาะในเรื่องการลดจำนวนผู้ต้องขังและการจัดการปัญหายาเสพติด กรมราชทัณฑ์ เป็นหน่วยงานราชการที่มีจำนวนคนมากที่สุดในประเทศ โดยมีผู้ต้องขังมากถึง 300,000 คน ซึ่งเป็นภาระที่หนักหน่วงสำหรับระบบยุติธรรม การดำเนินการตามแนวทางที่เสนอจะช่วยให้จำนวนผู้ต้องขังลดลงเหลือประมาณ 70,000 คน โดยการปรับปรุงกฎหมายและระบบการบริหารจัดการ การเสนอให้มีการพักโทษ 4 วันต่อหนังสือ 1 เล่มนั้น เป็นกลยุทธ์ที่มีเป้าหมายเพื่อลดงบประมาณและลดปัญหายาเสพติดที่มีอยู่ในสังคมไทย
จากนั้น หลัง พ.ต.อ.ทวี กล่าวต้อนรับแล้ว “พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพันธ์” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ได้เป็นประธานที่ประชุมต่อ โดยกล่าวถึง กรณี รมว.ยุติธรรม ระบุถึง บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและการให้ความสำคัญกับการถ่ายโอนอำนาจจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่อให้มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในส่วนของการประณามจาก สหภาพยุโรป (อียู) และ สหรัฐอเมริกา รัฐมนตรีได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการที่รัฐบาลจีนถูกวิจารณ์ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในกรณีของชาวอุยกูร์ ที่ถูกกักขังเป็นเวลานานถึง 11 ปี การที่รัฐบาลจีนยังคงถูกประณามแม้จะมีความพยายามในการปรับปรุงสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหานี้และความจำเป็นในการสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศการประชุมในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนานโยบายและแนวทางการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบยุติธรรมและสังคมไทยในอนาคต
ด้าน “ดร.นิยม เวชกามา” กล่าวในที่ประชุมว่า เป็นห่วงปัญหายาเสพติด ที่ใช้งบประมาณจำนวนมากแต่ยอดผู้เสพไม่ลดลง
“บ้านผมที่จังหวัดสกลนคร เป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหายาเสพติดระบาดมานาน แม้จะมีการทุ่มเทงบประมาณจากภาครัฐลงไปสนับสนุนและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นจำนวนมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ ยังคงมีผู้คนติดยาเสพติดจำนวนมากเช่นเดิม ทั้งนี้ มีคำพูดที่ว่าบุตรหลานบ้านใดไม่ติดยาเสพติด ถือเป็นผู้มีบุญมากบารมี เสมือนว่าเป็นบ้านที่ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งก็ว่าได้”
“ผมอยากให้การปราบปรามยาเสพติดทำได้เหมือนกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะเห็นได้ชัดว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงไปมากจากการปราบปรามของนายกรัฐมนตรี ในการนี้จึงอยากฝากไปยังสำนักงาน ป.ป.ส.ว่าจะสามารถปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร เหมือนกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครับ” ดร.มหานิยม กล่าว
ทั้งนี้ จากการประชุมในวันนี้ ได้มีการนำเสนอแนวคิดจากการทำงานซึ่งใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยมีข้อมูลจาก ป.ป.ส.ตามแนวทางการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และนโยบายเร่งด่วน “รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร”
โดยรัฐบาล มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดวงจรยาเสพติด ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
ซึ่งกลยุทธ์หลักของนโยบาย คือ
– ตัดต้นตอ: ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสกัดกั้นการลักลอบนำเข้า ตัดเส้นทางการลำเลียง และปราบปรามแหล่งผลิตยาเสพติด
– ปราบปรามอย่างจริงจัง: ดำเนินการปราบปรามและยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด ไม่ละเว้นผู้มีอิทธิพลหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
– บำบัดรักษาและฟื้นฟู: ค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการศึกษาและอาชีพให้แก่ผู้ที่ผ่านการบำบัด และมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการกลับไปสู่วงจรยาเสพติด
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลสถิติและสถานการณ์ว่า
1. ปัญหายาเสพติดในระดับชุมชน
– พบหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีปัญหายาเสพติดจำนวน 18,932 แห่ง
– ในจำนวนนี้เป็นหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน 5,992 แห่ง (คิดเป็น 31.7%)
(ข้อมูลจากผลการสำรวจสภาพปัญหายาเสพติดในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน ในระบบ NISPA)
2. พื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด
– สถานบันเทิง/สถานบริการ 2,370 แห่ง
– สถานประกอบการที่คล้ายสถานบันเทิง 7,255 แห่ง
– พื้นที่เสี่ยงรอบสถานศึกษา 5,327 แห่ง
(ข้อมูลจาก: ระบบสารสนเทศยาเสพติดจังหวัด NISPA)
3. กลุ่มเสี่ยง
– กลุ่มเสี่ยง/กลุ่มเปราะบาง/กลุ่มที่หลุดจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน 335 คน
4. ผลการปราบปราม
– ทลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายสำคัญได้ 279 เครือข่าย ใน 76 จังหวัด และ กรุงเทพมหานคร
– ดำเนินคดีความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด 94,096 คดี
– ดำเนินคดีข้อหาสมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือ 1,924 คดี
– ยึด/อายัดทรัพย์สินคดียาเสพติดได้ 10,000 คดี
(ข้อมูลจาก: สำนักงาน ป.ป.ส., ศอ.ปส.ตร.)
5. สถานการณ์ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด
– ผู้เสพยาเสพติดที่มีอาการทางจิต 14,359 คน
– ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดทั้งหมด 170,138 คน
– ผู้เสพยาเสพติดที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม 135,040 คน
(ข้อมูลจาก: แผนจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และ กทม. ในระบบ PNARS, ข้อมูลเป้าหมายตามงบประมาณของกรมคุมประพฤติ/ราชทัณฑ์/พินิจฯ)
6. การฟื้นฟูสภาพทางสังคม
– มีผู้ขอความช่วยเหลือและได้รับบริการจากศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม
– มีผู้เสพที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสภาพทางสังคมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
(ข้อมูลจาก: ระบบ บสต.)
ข้อดีของนโยบาย
– ครอบคลุมทุกมิติ: นโยบายนี้ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษา
– ความร่วมมือจากต่างประเทศ: การประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นยาเสพติด
– เน้นการฟื้นฟู: การให้โอกาสผู้ที่ผ่านการบำบัดกลับเข้าสู่สังคมอย่างยั่งยืน
ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องพิจารณา
– ความซับซ้อนของปัญหา: ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกและเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย
– ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน: การแก้ไขปัญหาให้สำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน
– งบประมาณและทรัพยากร: การดำเนินการตามนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้งบประมาณและทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง//////////ดร.นิยม เวชกามา

