*”ดร.มหานิยม”เผยประชุมมส.13สิงหา68คณะสงฆ์-ตร.ร่วมเคลียร์ปมการใช้อำนาจขอข้อมูลวัด-พระเหตุสร้างความหวั่นไหวกระทบสัมพันธ์และอาจละเมิดกฎหมาย*

“ดร.นิยม เวชกามา” หรือ “ดร.มหานิยม” ผู้ช่วย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ) กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)วัดและวงการพระสงฆ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรณีเรื่อง แนวปฏิบัติในการส่งมอบข้อมูลของวัดตามข้อหารือเบื้องต้น ในที่ประชุมคณะกรรมการ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 222/2568 ระบุว่า
สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) รับพระบัญชา “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” ประธานกรรมการ มส.โปรดให้ประกาศว่า
ตามที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 222/2568 ลงวันที่ 22 ก.ค.2568 ได้มีมติขอความร่วมมือและขอรับทราบข้อมูลในด้านต่างๆ ของวัด นั้น
“ต่อมาเกิดความปรากฏว่า มีแนวปฏิบัติที่ลักลั่นกันและอาจมีการกระทำที่ก่อให้เกิดความระส่ำระสาย รู้สึกเป็นภัยคุกคาม เกิดความปริวิตกในคณะสงฆ์ จึงขอให้ดำเนินการซักซ้อมความเข้าใจและประสานรายละเอียดยังส่วนราชการต่างๆ เพื่อความกระจ่างร่วมกัน”
ดร.มหานิยม กล่าวว่า สมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้ พศ. เรียนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อสั่งการให้เป็นไปตามหลักการต่อไป กับทั้งเชิญพระบัญชาไปแจ้ง มส.ในการประชุม มส.ในวันที่ 13 ส.ค.2568 นี้รับทราบและให้คณะสงฆ์ถือปฏิบัติ ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการแล้ว ให้นำมติ มส.ดังกล่าว กราบทูลทราบฝ่าพระบาทด้วย
“วงการสงฆ์เกิดความหวั่น ไหวมากในขณะนี้ หลังมีตำรวจบางจังหวัด เช็กข้อมูลวัดและข้อมูลพระคุณเจ้า เช่น หมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก บัญชีธนาคารส่วนตัว รวมทั้งถ่ายรูปเพื่อเก็บเป็นข้อมูลเสมือนเป็นอาชญากร”
ดร.มหานิยม กล่าวว่าการกระทำแบบนี้ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิพลเมืองหรือไม่ เป็นการละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลบุคคลหรือไม่ และทั้งไม่ทราบว่า การที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำแบบนี้ ทำเกินหน้าที่ ใช้อำนาจเกินขอบเขต เข้าข่ายประพฤติมิชอบหรือไม่
“ในประกาศสำนักเลขาธิการ มส. มีใจความว่า ในกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานขอข้อมูลรายละเอียดต่างๆ สมควรสอบถาม พศ. หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.)ในการจัดทำฐานข้อมูล ทั้งนี้ หากมีปัญหา อุปสรรค หรือข้อสงสัยเป็นรายจำเพาะกรณี ให้พศจ.สอบถามแนวปฏิบัติมายังพศ.เพื่อจักได้พิจารณาตอบข้อสงสัยต่อไป”
“บรรดาข้อมูลส่วนบุคคล รวมไปถึงบัญชีธนาคารซึ่งเป็นบัญชีส่วนบุคคล อันเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ที่มีกฎหมายคุ้มครอง หน่วยราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอความร่วมมือในการขอข้อมูลได้ ในกรณีเจ้าของบัญชียินยอม”
“การเข้าไปในบริเวณศาสนสถานต้องดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายและจารีตประเพณี ต้องประสานงาน ด้วยวิธีการอันละมุนละม่อม และเหมาะสม ในฐานที่เจ้าพนักงานไปขอความอนุเคราะห์ข้อมูลจากพระภิกษุสามเณรและประชาชนผู้ที่มิได้กระทำความผิดตามกฎหมาย มิได้เป็นอาชญากร หรือมิได้เป็นผู้ต้องสงสัย การเข้าบริเวณพื้นที่วัดเพื่อขอข้อมูลต้องมีการประสานงานล่วงหน้า ใช้กิริยาวาจาที่เหมาะสมตามมารยาทสังคมไทย ซึ่งฆราวาสพึงปฏิบัติต่อพระภิกษุสามเณร”
“และไม่เข้ามาในบริเวณวัดในเวลาวิกาล หรือกระทำการใดๆ ให้เกิดทัศนคติเชิงลบ ก่อให้เกิดภาวะหวาดวิตกในหมู่พุทธบริษัท อันทำให้ความสามัคคีและสายสัมพันธ์ของบ้าน วัด และระบบราชการ ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทย ต้องถูกกระทบกระเทือน ต้องดำเนินการบนหลักการพื้นฐานเรื่องสิทธิส่วนบุคคล และกฎหมาย หากเจ้าอาวาสไม่ยินยอม เจ้าหน้าที่ไม่สามารถข่มขู่ หรือบังคับให้ส่งมอบข้อมูล หากมีการข่มขู่หรือบังคับ อาจเข้าข่ายกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”
“และพึงเข้าใจร่วมกันในเชิงนโยบายว่าการขอรับข้อมูล เป็นการขอความร่วมมือ เพื่อจัดทำฐานข้อมูลร่วมกับ พศ. มิใช่เป็นการตรวจสอบเพราะเกิดกรณีการกระทำความผิดตามกฎหมาย”
“ให้ พศจ.ประสานความร่วมมือกับคณะสงฆ์ ในการเฝ้าระวังสังเกต ถวายความรู้ และป้องกันมิให้เกิดพฤติการณ์ที่อาจมีมิจฉาชีพ หรือบุคคลผู้ไม่มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย อาจใช้โอกาสนี้กระทำการข่มขู่ หลอกลวง หรือบังคับพระภิกษุสามเณรหรือวัดให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือข้อมูลจำเพาะของวัด โดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย หรือยังมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย หรือมิเป็นไปตามมติ มส. หรือตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาสงฆ์”
“มติ มส.เกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้านศาสนสมบัติ เป็นแนวทางภายในที่ มส.กำหนดเป็นมาตรฐานกลาง สำหรับวัดที่มีความพร้อมและวัดที่มีศาสนสมบัติมาก สำหรับวัดที่ยังไม่มีความพร้อม ให้อนุมัติตามความเหมาะสม การดำเนินการตามมตินี้ จึงมิได้มีเจตนารมณ์ให้เกิดภัยต่อคณะสงฆ์ แต่เป็นการวางแนวทางเพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตอันเนื่องด้วยศาสนสมบัติของวัด ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา และเป็นการปกป้องคุ้มครองวัดและพระภิกษุสามเณรซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมาย”///////ดร.นิยม เวชกามา

