*”รัฐมนตรีสุชาติ-ดร.มหานิยม”เข้ากราบหารือ”พระพรหมบัณฑิต”มติ มส.-คำสั่งคณะกรรมการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา*

Uncategorized

*“รัฐมนตรีสุชาติ-ดร.มหานิยม”เข้ากราบหารือ”พระพรหมบัณฑิต”มติ มส.-คำสั่งคณะกรรมการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา*

เวลา 14.30 น.วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร แขวงวัดกัลยา เขตธนบุรี กรุงเทพฯ “นายสุชาติ ตันเจริญ” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “ดร.นิยม เวชกามา” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เข้ากราบนมัสการ “พระพรหมบัณฑิต” (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร อุปนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศน์แห่งคณะสงฆ์ ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประธานสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (IABU) ประธานสภาสากลวันวิสาขบูชา และอื่นๆ
โดยได้หารือเกี่ยวกับมติ มส.และคำสั่งของคณะกรรมการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นข้อสรุปของ มส.ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ดังนี้

1.ปฏิบัติการ “กวาดลานวัด” ตำรวจทั่วประเทศเข้าตรวจสอบวัด ขอข้อมูลพระภิกษุ-สามเณร บัญชีเงินวัด บัญชีส่วนตัว หมายเลขบัตรประชาชน ถ่ายรูป รวมถึงข้อมูลตู้บริจาค ทำให้พระสงฆ์ทั่วประเทศเกิดความหวั่นไหวและระส่ำระสายในวงกว้าง

2. พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช (10 ส.ค. 2568) ขอให้ซักซ้อมความเข้าใจและประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน เนื่องจากพบการปฏิบัติที่ไม่เป็นเอกภาพ และก่อให้เกิดความรู้สึกถูกคุกคาม

3.ประกาศแนวทางใหม่ของตำรวจ (13 ส.ค. 2568 เวลา 10.00 น.) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง สั่งการให้ตำรวจเข้าหาวัดด้วยความเหมาะสมและนอบน้อม
* ไม่บุกเข้าวัดโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
* ห้ามถ่ายรูปลงทะเบียนพระในลักษณะทำให้หวาดหวั่นหรือเสื่อมเสีย

4.การประชุมมส. (13 ส.ค. 2568 เวลา 13.00 น.)
*รับรายงานผลหารือกับตำรวจจาก ศ.ธงทอง จันทรางศุ
*มีมติให้น้อมรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
*การตรวจสอบวัดต้องมีเจ้าคณะผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติร่วมด้วย เพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินเหตุและการคุกคาม

5.ข้อกำหนดเกี่ยวกับบัญชีส่วนตัวไม่อนุญาตให้เข้าตรวจสอบ เว้นแต่มีหมายศาล เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิและการนำข้อมูลไปใช้ในทางผิดกฎหมาย

6.คำตำหนิจากกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปวิจารณ์ว่าตำรวจไม่ให้เกียรติพระ แม้แต่กรรมการ มส.ก็ถูกให้ถือบัตรประชาชนถ่ายรูป

7.เสียงวิจารณ์จากพระ นักวิชาการ และทนายความ มองว่าการปฏิบัติของตำรวจเกินหน้าที่ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและข้อมูลส่วนบุคคลที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง

8.เหตุการณ์รุนแรงบางพื้นที่ มีรายงานว่าตำรวจบุกวัดในเวลากลางคืนพร้อมอาวุธครบมือ บังคับถ่ายรูปพระถือบัตรประชาชนตั้งแต่เจ้าอาวาสถึงพระลูกวัด เหมือนปฏิบัติต่ออาชญากร

9.ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับตำรวจ มีข่าวว่าเจ้าอาวาสและพระสังฆาธิการหลายรูปต้องการลาออก หลายวัดประกาศไม่ร่วมกิจกรรมกับตำรวจ ก่อให้เกิดความร้าวฉานในสังคมอย่างรุนแรง

ซึ่งหลังจากหารือและสรุปเป็นที่ซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติของคณะกรรมการ มส. ที่จะให้ตำรวจปฏิบัติในการเข้าขอเอกสารจากพระภิกษุสามเณรแล้ว นายสุชาติ ตันเจริญ จึงเดินทางกลับ

หลังจากนั้น วันเดียวกัน เวลา 16.30 น.ดร.นิยม เวชกามา เดินทางไปวัดเครือวัลย์วรวิหาร แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่
กรุงเทพฯ เพื่อกราบนมัสการและให้กำลังใจ “สมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี” (มนตรี คณิสฺสโร) รองประธานกรรมการคณะธรรมยุต กรรมการ มส. ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 (ธรรมยุต) รองแม่กองธรรมสนามหลวง และเจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร เกี่ยวกับมีคนปลอมแปลงลายมือท่านสมเด็จฯ เพื่อยักยอกเบิกเงินสะสมของวัด 8 บัญชี จาก ธนาคารชื่อ เป็นเงิน 65 ล้านบาท ซึ่งมีการกระทำมานานพอสมควร โดยจะเบิกครั้งละไม่เกิน 3 แสนบาท กระทำหลายครั้ง
จึงได้แจ้งความให้ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งรู้ตัวคนร้าย ว่าเป็นผู้ที่เคยทำงานธนาคารมาก่อนและอาสาสมัครจะช่วยงานวัด ได้เตรียมการที่จะยักยอกเงินวัดอยู่แล้วเขายังได้ใช้เงินของวัดที่ยักยอกไปแล้วมาสู้คดีดังกล่าวนี้ด้วย

ทั้งนี้ วัดเครือวัลย์ฯ อยู่ใน แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ อยู่ติดกับกองบัญชาการทหารเรือ จึงเป็นฌาปนสถานทหารเรือด้วยเพราะทหารเรือได้มาเช่าที่ของวัดดำเนินการบริหารจัดการอยู่ รายได้ของวัดจึงมาจากการเช่าที่ของฌาปนสถานทหารเรือ ดังกล่าว

ทั้งนี้ ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ที่ประชุม มส.ได้ออกมติ มส. ถึงแนวนโยบายเพื่อประสานการจัดทำคู่มือปฎิบัติงานบูรณาการสำรวจข้อมูลเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนา เลขาธิการ มส. เสนอว่า ศ.พิเศษธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษามหาเถรสมาคม และ ผศ.ปารีณา ศรีวนิชย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 222/2568 ลงวันที่ 22 กรกฏาคม 2568 ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการดังกล่าว จัดทำและเสนอนโยบายด้านธรรมาภิบาลในการเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา มีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้

1.การคุ้มครองและปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ตามจารีตประเพณี
กำหมดมาตรการให้หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อพระภิกษุสามเณรโดยเคารพในเพศบรรพชิต ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของคณะสงฆ์ในทุกกรณี
2.การประสานงานและแจ้งล่วงหน้าในการดำเนินการลงพื้นที่เกี่ยวกับกิจการคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา ต้องมีการประสานงาน
กับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดล่วงหน้า
เพื่อบูรณาการการปฏิบัติ พร้อมระบุวัตถุประสงค์และขอบเขตการปฏิบัติอย่างชัดเจน
3.การปฏิบัติงานร่วมอย่างมีมาตรฐานจัดให้มีคู่มือและแนวปฏิบัติร่วม (Joint SOF) ระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
หน่วยงานด้านความมั่นคง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างเป็นระบบ โปร่งใส และลดข้อขัดแย้งหรือความสับสนลักลั่นในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ
4.การกำกับดูแลข้อมูลและความปลอดภัย
กำหนดมาตรการคุ้มครองข้อมูลของคณะสงฆ์ วัด และองค์กรทางพระศาสนา ตามหลักกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และใช้ข้อมูลเฉพาะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
5.การเสริมสร้างความมั่นคงโดยยึดหลักธรรมาภิบาล
ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วม ความเสมอภาค และการยึดหลักนิติธรรม ทั้งนี้ คฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติงาน ต้องทำความเข้าใจพระธรรมวินัย
และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์อย่างถ่องแท้ก่อน เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปโดยชอบด้วยพระธรรมวินัย
และกฎหมาย มิเป็นไปโดยพลการหรือมิติความเข้าใจภาคคฤหัสถ์แต่ส่วนเดียว
6.การจัดการกรณีเกี่ยวข้องกับพระวินัยและกฎหมาย
ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เป็นผู้ดำเนินการด้านพระวินัย เว้นแต่ในกรณีความผิดอาญา ที่ปรากฏซึ่งหน้าหรือมีพยานหลักฐานอย่างชัดแจ้ง เช่น คดียาเสพติด หรืออาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจตามกฎหมายดำเนินการโดยเร่งด่วน ทั้งนี้ สำนักงาน
พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องจัดให้มีการประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเป็นรูปธรรม
7.การติดตามประเมินผล และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
จัดให้มีคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายนี้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมประเมินและปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสมต่อสภาพการณ์ เพื่อรักษาความมั่นคงและศักดิ์ศรีของคณะสงฆ์ และกิจการพระพุทธศาสนาอย่างยั่งยืน
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เห็นควรนำเสนอ มส.เพื่อโปรดพิจารณา/////////ดร.นิยม เวชกามา