*“ดร.มหานิยม”เผยเจ้าคณะอำเภอเขื่องใน-อุบลฯสายป่าลาออกจากตำแหน่งอ้างมุ่งทำนุพุทธศาสนาอย่างเดียวชี้ตำรวจขอข้อมูลพระอย่างเข้มงวดอาจละเมิดสิทธิ์และสร้างความระแวงสงฆ์กับตร.ได้*
จากกรณี “ดร.นิยม เวชกามา” หรือ “ดร.มหานิยม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ) กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า เร็วๆนี้จะมีกลุ่มพระสงฆ์ซึ่งมีคุณวุฒิระดับปริญญาตรีจนถึงดอกเตอร์และเปรียญธรรม 9 ประโยค หลายรูป ขอเข้าพบท่านรัฐมนตรี “สุชาติ ตันเจริญ” และตน เพื่อแสดงความห่วงใยและร้องเรียน กรณีที่ทางตำรวจจะเข้าตรวจสอบบัญชีเงินและทรัพย์สินต่างๆของวัด โดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัดและไวยาวัจกรทั่วประเทศ จนกลายเป็นกระแสว่อนไปทั่วโลกโซเชี่ยล เพราะไม่รู้ว่าบางจุดจะทำผิดกฎหมายส่วนใดหรือไม่ จนอาจต้องโทษเป็นคดีด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทางกฎหมายโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงทางทุจริต จนมีพระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาส พระสังฆาธิการ ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยล่าสุด “พระครูโสภณธรรมสโรช” แห่งวัดป้าหัวดอน ต.หัวดอน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 31 กรกฏาคม 2568 ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเขื่องใน (ธรรมยุต) โดยเรียน เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี (ธรรมยุต) มีใจความว่า
“กระผมได้รับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเขื่องใน (ธรรมยุต) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2566 และปฏิบัติหน้าที่ติดต่อกันมาเป็นเวลา 1 ปี 11 เดือน โดยได้รับใช้คณะสงฆ์และพระพุทธศาสนามาเต็มความสามารถ”
“บัดนี้ ประสงค์ที่จะลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเขื่องใน (ธรรรมยุต)
เพื่อปฏิบัติศาสนกิจในด้านวิปัสสนาธุระและเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ในสาธารณะสงเคราะห์อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พระพุทธศาสนาต่อไป”
ดร.มหานิยม กล่าวว่า ต่อมาได้ให้ “ดร.ณพลเดช มณีลังกา” (ดร.ปิง) ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ตรวจสอบ กรณีสถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อยออกหนังสือขอข้อมูลจากวัดสุวรรณาราม โดยมีเนื้อหาขอข้อมูลส่วนบุคคลของพระ รวมถึงมูลนิธิและหน่วยงานอื่น ๆ ภายในวัด ซึ่งในหนังสือดังกล่าวระบุให้เจ้าอาวาสวัดสุวรรณารามจัดส่งข้อมูลพระสงฆ์พร้อมภาพถ่าย เลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ภายในวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2568 ซึ่งขัดกับมติมหาเถรสมาคมที่ 620/2568 เรื่องแนวปฏิบัติสำหรับการบริหารศาสนสมบัติของวัด ที่ระบุชัดเจนว่า “บัญชีธนาคารซึ่งเป็นบัญชีส่วนบุคคลนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอความร่วมมือในการตรวจสอบได้เฉพาะในกรณีเจ้าของบัญชียินยอม” เท่านั้น
ดร.มหานิยม กล่าวว่า การที่ตำรวจขอข้อมูลส่วนบุคคลของพระสงฆ์ เช่น เลขบัตรประชาชน ภาพถ่าย และเลขบัญชีธนาคาร ถือเป็นการละเมิดพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) โดยเฉพาะมาตรา 32 ที่ให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลในการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และยังมีสิทธิในการถอนความยินยอมตามมาตรา 19 (วรรคห้า) หากเคยให้ข้อมูลไปแล้ว สร้างความเดือดร้อนและความกังวลให้กับพระสงฆ์จำนวนมาก เพราะข้อมูลที่ถูกร้องขอมีความละเอียดอ่อนและสุ่มเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรืออาจตกไปถึงมือมิจฉาชีพได้ หากไม่มีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีเสียงสะท้อนจากพระสงฆ์ในหลายพื้นที่ว่าการขอข้อมูลในลักษณะนี้สร้างความไม่สบายใจ และทำให้เกิดความระแวงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ
“โดยเฉพาะ ขณะนี้มีประเด็นความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก โดยบางส่วนถึงขั้นมีแนวโน้มที่จะไม่สนับสนุนกิจกรรมของตำรวจในทุกกรณี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันของตำรวจในพื้นที่และการสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและสังคม” ดร.มหานิยม กล่าว